วันจันทร์ที่ 29 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2559





สะพานข้ามลำน้ำงาว เป็นสัญลักษณ์ของอำเภองาวไปแล้ว ตั้งอยู่กลางอำเภองาว คนที่เดินทางมายังอำเภองาว ก็จะเห็นสะพานไม้ขนาดกลาง ๆ ทอดตัวผ่านแม่น้ำซึ่งเรียกว่าแม่น้ำงาว เห็นแล้วสะดุดตากับผู้คนที่ได้พบเห็น สถานที่แห่งนี้เป็นแหล่งพักผ่อนในช่วงยามเย็นมากกว่า เพราะบนสะพานโยงจะไม่ให้นำรถวิ่งผ่านไปมาแล้ว ในปัจจุบัน สังเกตุได้จากมีที่กั้นรถวิ่งบนสะพาน ส่วนทางขึ้นสะพานจะมีร้านค้าตั้งขายของอยู่ คนที่เดินทางมาเที่ยวบนสะพานงาวก็จะได้เห็นวิถีชีวิตคนอำเภองาว อำเภอเล็ก ๆ ที่มีตลาดขนาดน้อย ๆ กับวิถีชีวิตผู้คนที่อาศัยอยู่ริมแม่น้ำงาว
ประวัติสะพานโยงสัญลักษณ์อำเภองาว
ในปี พ.ศ. 2458 กรมทางหลวงแผ่นดินได้มีการขยายสร้างถนนพหลโยธิน ช่วงจังหวัดลำปางไปยังจังหวัดเชียงราย เมื่อสร้างถนนมาถึงอำเภองาว ซึ่งมีแม่น้ำขวางกั้นอยู่ จึงได้ดำเนินการก่อสร้างสะพานข้ามแม่น้ำงาวขึ้นที่บ้านน้ำล้อม ตำบลหลวงใต้ ข้ามมายังตลาดบ้านหลวงเหนือ ตำบลหลวงเหนือ เป็นสะพานเหล็กแขวน มีเสากระโดงสองฝั่งใช้รอกดึงสายโยงไม่มีเสากลาง พื้นสะพานเป็นหมอนไม้วางบนรางเหล็กเหมือนรางรถไฟ ปูพื้นด้านบนด้วยไม้ ความกว้างของสะพาน 4 เมตร ยาว 80 เมตร เสากระโดงสูง 18 เมตร ผู้ออกแบบก่อสร้างโดย นายช่างเยอรมัน ผู้ควบคุมการก่อสร้างโดย ขุนเจนจบทิศ และหม่อมเจ้าเจริญใจ
เริ่มก่อสร้างก่อนสงครามโลกครั้งที่ 2 ในปี พ.ศ. 2469 สร้างแล้วเสร็จในปี พ.ศ. 2471 ใช้เวลาการสร้าง 18 เดือน สะพานไม้นี้ไม่มีชื่อเป็นทางการ แต่กรมทางหลวงแผ่นดินเรียกว่า "สะพานข้ามลำน้ำงาว" มีเพียงแห่งเดียวในประเทศไทย
การเดินทาง

หล่มภูเขียว” แอ่งน้ำสีมรกต ความงามลึกลับแห่งลำปาง

ดูภาพชุดจาก Manager Multimedia

“หล่มภูเขียว” แอ่งน้ำสีมรกต ความงามลึกลับแห่งลำปาง
"หล่มภูเขียว" แอ่งน้ำสีเขียวมรกตขนาดใหญ่ (ภาพ : ศุภสวัสดิ์ เพียรธัญกรณ์)
        ในพื้นที่อำเภองาว จังหวัดลำปาง มีความงดงามอันลึกลับของธรรมชาติแอบซ่อนอยู่ นั่นคือ “หล่มภูเขียว” แอ่งน้ำขนาดใหญ่บนภูเขา ผืนน้ำมีสีเขียวมรกตงดงามสงบนิ่ง แต่ไม่อาจหยั่งถึงความลึกว่ามากมายเพียงใด 
      
       “หล่มภูเขียว” เป็นแหล่งท่องเที่ยวทางธรรมชาติอยู่ในเขตอุทยานแห่งชาติถ้ำผาไท ในพื้นที่หมู่ที่ 6 ตำบลบ้านอ้อน อำเภองาว จังหวัดลำปาง มีลักษณะเป็นแหล่งน้ำขนาดใหญ่ เนื้อที่ราว 1-2 ไร่ มีความลึกมากจนมองเห็นเป็นสีเขียวมรกตสวยงาม ความลึกนั้นไม่สามารถระบุได้ สันนิษฐานว่าแอ่งแห่งนี้เกิดจากการยุบตัวของเปลือกโลกในสมัยดึกดำบรรพ์ หรืออาจเกิดจากการยุบตัวของหินปูนซึ่งเคยเป็นเพดานถ้ำมาก่อน แล้วจมลงใต้น้ำ เรียกว่าหลุมยุบ (Sink Hole) ต่อมาจึงกลายเป็นแหล่งรับน้ำ และมีปลาอาศัยอยู่เป็นจำนวนมาก
“หล่มภูเขียว” แอ่งน้ำสีมรกต ความงามลึกลับแห่งลำปาง
สันนิษฐานว่าบึงแห่งนี้เกิดจากการยุบตัวของเปลือกโลก (ภาพ : ศุภสวัสดิ์ เพียรธัญกรณ์)
       
“หล่มภูเขียว” แอ่งน้ำสีมรกต ความงามลึกลับแห่งลำปาง
บริเวณโดยรอบเป็นป่าดิบแล้งร่มรื่น (ภาพ : ศุภสวัสดิ์ เพียรธัญกรณ์)
        ธรรมชาติโดยรอบหล่มภูเขียวเป็นป่าดิบแล้ง มีสัตว์ป่าอาศัยอยู่เป็นจำนวนมาก ชาวบ้านได้เดินป่าเข้ามาพบแหล่งน้ำสีเขียวมรกตอยู่ภายใต้หุบเขาดังกล่าว จึงเรียกชื่อว่า "หล่มภูเขียว" ส่วนหุบเขาอีกแห่งหนึ่งที่อยู่ตรงข้ามกันแต่ไม่มีน้ำ เรียกว่า "หล่มแล้ง" ชาวบ้านเชื่อว่าหล่มภูเขียวเป็นแหล่งน้ำศักดิ์สิทธิ์ มีพญางูใหญ่อาศัยอยู่ จึงได้ทำพิธีบูชาน้ำเป็นประจำทุกปี
      
       มีเรื่องเล่าจากผู้เฒ่าผู้แก่ว่า สมัยก่อนชาวบ้านจะนำขันข้าวพร้อมดอกไม้ธูปเทียนมาบูชา โดยนำไปวางบนขอนไม้และลอยไปกลางลำน้ำเพื่อบูชาสิ่งศักดิ์สิทธิ์ในบึงน้ำ และได้เกิดปรากฏการณ์ขอนไม้จมลงไปใต้น้ำแล้วลอยขึ้นมา โดยที่เทียนยังไม่ดับ จึงเกิดความเชื่อว่าแหล่งน้ำนี้เป็นแหล่งน้ำศักดิ์สิทธิ์มากขึ้น ชาวบ้านจึงนำน้ำจากหล่มภูเขียวมาใช้ดื่มกินและอธิษฐานขอให้หายจากโรคภัยไข้เจ็บ และนำไปใช้ในพิธีอันศักดิ์สิทธิ์ของชาวบ้านตามความเชื่อสืบทอดกันมาถึงปัจจุบัน
      
       บริเวณโดยรอบหล่มภูเขียวล้อมรอบไปด้วยผาหินปูนสูงชัน มีความร่มรื่นจากต้นไม้ใหญ่โดยรอบ บรรยากาศของป่าเขาอันเงียบสงบผสมกับความเรียบนิ่งของผิวน้ำสีเขียวมรกตที่ลึกจนไม่สามารถหยั่งถึงนี้ ทำให้เกิดความงดงามอันลึกลับ สะกดสายตาของผู้ที่ได้มาเยือน
“หล่มภูเขียว” แอ่งน้ำสีมรกต ความงามลึกลับแห่งลำปาง
บึงน้ำล้อมรอบด้วยผาหินปูนสูงชัน (ภาพ : ศุภสวัสดิ์ เพียรธัญกรณ์)
       
“หล่มภูเขียว” แอ่งน้ำสีมรกต ความงามลึกลับแห่งลำปาง
ความงามอันลึกลับของ อ.งาว จ.ลำปาง (ภาพ : ศุภสวัสดิ์ เพียรธัญกรณ์)
        สำหรับนักท่องเที่ยวที่ต้องการเดินทางมาชมความงามอันลึกลับของหล่มภูเขียว มีข้อแนะนำและข้อห้ามก็คือควรให้ความเคารพสถานที่ ไม่ทิ้งขยะ ไม่จับปลา ไม่นำปลามาปล่อย และไม่ให้อาหารปลา เนื่องจากจะทำให้น้ำเน่าเสีย ไม่นำเท้าลงไปแช่ในน้ำ ไม่ลงเล่นน้ำ และไม่ทำลายป่า
      
       นอกจากนั้น ในบริเวณใกล้เคียงก็ยังมีแหล่งท่องเที่ยวที่น่าสนใจในเขตอุทยานแห่งชาติถ้ำผาไทอีกมากมาย เช่น “ถ้ำผาไท” ถ้ำหินปูนที่มีหินงอกและหินย้อยที่สวยงามอยู่ตลอดเส้นทางเดิน ภายในถ้ำมีรอยจารึกพระปรมาภิโธยย่อ “ป.ป.ร.” ซึ่งรัชกาลที่ 7 ทรงจารึกไว้เมื่อครั้งเสด็จประพาสถ้ำผาไทในปี 2469 “น้ำตกแม่แก้” น้ำตกขนาดเล็ก เกิดจากลำห้วยแม่แก้ สูงประมาณ 10 เมตร มีชั้นเล็กๆ น้อยๆ ลดหลั่นกันอีก 14 ชั้น สามารถลงเล่นน้ำได้ “อ่างเก็บน้ำเขื่อนกิ่วลม” สถานที่ท่องเที่ยวซึ่งมีชื่อเสียงของจังหวัดลำปาง สามารถล่องแพหรือเรือชมทิวทัศน์ของทะเลสาบและเกาะกลางน้ำได้อีกด้วย
       หล่มภูเขียว” อยู่ในเขตอุทยานแห่งชาติถ้ำผาไท ในพื้นที่หมู่ที่ 6 ตำบลบ้านอ้อน อำเภองาว จังหวัดลำปาง อยู่ห่างจากทางหลวงแผ่นดินหมายเลข 1 (ถนนพหลโยธิน) จากเส้นทางสายลำปาง-พะเยา เข้าไปสู่ ต.บ้านอ้อน อ.งาว เข้าไปเป็นระยะทาง 14 กม. และแยกไปหล่มภูเขียวอีกประมาณ 3.5 กม. (อยู่ห่างจากที่ทำการองค์การบริหารส่วนตำบลบ้านอ้อนมาทางทิศตะวันตกเป็นระยะทาง 6 กม.) จากถนนใหญ่ไปจนถึงโรงเรียนบ้านอ้อนเป็นถนนลาดยาง แต่หลังจากนั้นจะเป็นทางลูกรัง ควรใช้รถกระบะในการเดินทางเข้าถึง
      
       ผู้ที่สนใจจะเดินทางไปท่องเที่ยวสามารถสอบถามรายละเอียดได้ที่ อุทยานแห่งชาติถ้ำผาไท โทร. 08-3203- 7330, 0-5422-0364 หรือสอบถามรายละเอียดเกี่ยวกับการท่องเที่ยวในจังหวัดลำปางได้ที่ ททท.สำนักงานเชียงใหม่ (ดูแลพื้นที่เชียงใหม่ ลำพูน ลำปาง) โทร. 0-5324-8604-5
          
       

      
   
น้ำพริกอ่อง อีกหนึ่งเมนูสำหรับคุณพ่อบ้านคุณแม่บ้านที่กำลังดูแลสุขภาพคงจะหนีไม่พ้นน้ำพริกผักจิ้ม แต่ขึ้นชื่อว่าน้ำพริก หลายคนที่กลัวรสเผ็ดคงเข็ดขยาด ทว่าเมนูที่เราจะนำเสนอวันนี้ รับรองว่าทานได้ตั้งแต่เด็กยันคุณพ่อบ้านคุณแม่บ้านที่รักสุขภาพเลยค่ะ อย่าลังเลและรีรออยู่เลย ความอร่อยของน้ำพริกอ่องกำลังรอคุณอยู่ เตรียมเปิดตู้เย็นหาวัตถุดิบกับเลยค่ะ
น้ำพริกอ่อง
น้ำพริกอ่อง

เครื่องปรุงน้ำพริกอ่อง

  • หมูสับละเอียด 1 ขีด
  • พริกแห้งเม็ดใหญ่ตัดท่อนคั่วพอหอม 10 เม็ด (หากกลัวเผ็ดก็ลดลงได้ไม่ว่ากันค่ะ)
  • หอมแดงซอย 10 หัว
  • กระเทียมสับ 10 กลีบ
  • กะปิ 2 ช้อนชา
  • เกลือ 1/2 ช้อนชา
  • น้ำตาลปี๊บ 1 ช้อนโต๊ะ
  • น้ำปลาดี 2 ช้อนโต๊ะ
  • มะเขือเทศลูกเล็กซอย 1 ถ้วยตวง
  • น้ำมันพืชสำหรับผัด
  • น้ำซุป (น้ำต้มกระดูกหมู)

วิธีทำน้ำพริกอ่อง

  1. เตรียมเครื่องผัดโดยการนำพริกแห้ง หอมแดง กระเทียม เกลือ กะปิ ลงโขลกในครกให้ละเอียด หรือคุณแม่บ้านสมัยใหม่ใช้เครื่องปั่นก็ไม่ว่ากันค่ะ
  2. ตั้งกระทะไฟกลางใส่น้ำมันลงผัดพอร้อนใส่เครื่องที่เราโขลกเตรียมไว้ลงผัด เติมหมูสับ มะเขือเทศซอย น้ำซุป ผัดให้ง่วนพอเป็นน้ำขลุกขลิก ปรุงรสเพิ่มด้วยน้ำปลา น้ำตาลปี๊บ ชิมรสตามชอบ
จัดเสิร์ฟน้ำพริกอ่องใส่ชามน่ารักพร้อมเครื่องเคียงผักสด แตงกวา มะเขือเปราะ ถั่วฝักยาวรับประทานคู่กัน อย่าลืมเคียงคู่ข้างจานด้วยไข่ต้มยางมะตูม กับข้าวสวยร้อนๆ แค่นี้ก็อิ่มสบายท้องกับเมนูน้ำพริกอ่องของครอบครัวอีกหนึ่งเมนู สาวๆ ที่รักษาสุขภาพดูแลรูปร่างอย่าลืมทำเมนูนี้ไว้ติดบ้านนะคะ
3.29/5 (65.76%) 59votes

 สูตรอาหารไทย : แกงเขียวหวานไก่

[ GREEN CURRY WITH CHICKEN ]
   
อาหารไทย : แกงเขียวหวาน
แกงเขียวหวานไก่ เป็นอาหารที่เป็นที่นิยมมาก โดยติดอันดับ 1 ใน 10 อาหารไทยยอดนิยมที่ชาวต่างขาติชอบรับประทาน สีเขียวของแกงเขียวหวานได้มาจากน้ำพริกแกงเขียวหวาน ซึ่งใช้พริกสดสีเขียวเป็นส่วนผสม รสชาติกลมกล่อม ระดับความเผ็ดปรับลดได้ ตามปริมาณเครื่องแกงที่ใส่ลงไป เนื่องจากเป็นแกงกะทิ จึงควรรับประทานแต่พอดี ไม่อย่างนั้นจะมีผลต่อน้ำหนักตัวได้ แกงเขียวหวานนิยมรับประทานคู่กับขนมจีน หรือจะทานกับข้าวสวยเป็นกับข้าวก็ได้

 
 เครื่องปรุง + ส่วนผสม
* เนื้อไก่ 350 กรัม (หั่นเป็นชิ้นเล็ก พอดีคำ)
* กะทิ 1 1/4 ถ้วยตวง
* ใบโหระพา 1/4 ถ้วยตวง
* มะเขือเปราะ 2 ลูก (หั่นเป็นชิ้นเล็กๆ)
 น้ำุซุปไก่ 1/2 ถ้วยตวง
* น้ำตาลมะพร้าว 2 ช้อนโต๊ะ (หรือน้ำตาลทรายธรรมดา)
* น้ำปลา 3 ช้อนโต๊ะ
* พริกชี้ฟ้าแดง 2 เม็ด (หั่นเฉียง)
* ใบมะกรูด 4 ใบ

มะเขือเปราะ
อาหารไทย : แกงเขียวหวาน
 
     วิธีทำทีละขั้นตอน
1. ตั้งกะทิ 1/2 ถ้วยตวง (กระทิส่วนที่เหลือไว้ค่อยใช้ในขั้นตอนต่อไป) บนกระทะจนร้อน (ใช้ไฟปานกลาง) คนจนกระทิเดือดประมาณ 3 - 5 นาที จากนั้นใส่เครื่องแกงเขียวหวานลงไปผัดกับกระทิสักพักจนน้ำกระทิงวดลง จึงเทส่วนผสมทั้งหมดลงในหม้อใหญ่
2. นำหม้อใบใหญ่ตั้งไฟปานกลาง ใส่เนื้อไก่และคนประมาณ 2 นาที จากนั้นใส่น้ำปลา, น้ำตาล คนต่อไปอีก 1 นาที ใส่มะเขือเปราะที่หั่นไว้แล้ว ใส่น้ำกระทิที่เหลือและใส่น้ำซุปไก่ ต้มต่อไปสักพักจนเนื้อไก่เริ่มสุก และมะเขือเปราะนิ่ม3. ใส่ใบมะกรูดและใบโหระพา รอจนเดือด จากนั้นจึงปิดไฟ ตักใส่ถ้วยเสิรฟพร้อมกับข้าวสวยร้อนๆ และพริกน้ำปลา
หมายเหตุ : แกงเขียวหวานนอกจากจะนิยมรับประทานกับข้าวสวยแล้ว ยังนิยมทานกับขนมจีนอีกด้วย . . .
(สำหรับ 2 ท่าน)

ใบเตย สรรพคุณและประโยชน์ของใบเตยหอม 22 ข้อ !

icon-calendar เผยแพร่: 2/07/2013 (ปรับปรุง: 29/02/2016)
Pandan-Leaves-1
สารบัญ [แสดง]

เตย

เตย หรือ เตยหอม ชื่อสามัญ Pandan Leaves, Fragrant Pandan, Pandom wangi
เตย ชื่อวิทยาศาสตร์ Pandanus amaryllifolius Roxb. (ชื่อพ้องวิทยาศาสตร์ Pandanus odorus Ridl.) จัดอยู่ในวงศ์เตยทะเล (PANDANACEAE)
สมุนไพรเตย มีชื่อท้องถิ่นอื่น ๆ ว่า ใบส้มม่า (ระนอง), ส้มตะเลงเครง (ตาก), ส้มปู (แม่ฮ่องสอน), ส้มพอดี ผักเก็งเค็ง (ภาคเหนือ) เป็นต้น
ต้นเตยหอม จัดเป็นไม้ยืนต้นพุ่มเล็ก ขึ้นเป็นกอ มีใบเป็นใบเดี่ยวเรียงสลับเวียนเป็นเกลียวจนถึงยอดใบ ลักษณะของเป็นทางยาว สีเขียวเป็นมัน ใบค่อนข้างแข็งมีขอบใบเรียบ ซึ่งเราสามารถนำใบเตยมาใช้ได้ทั้งใบสดและใบแห้ง ในใบเตยจะมีกลิ่นหอมของน้ำมันหอมระเหย (Fragrant Screw Pine) โดยกลิ่นหอมของใบเตยนั้นมากจากสารเคมีที่ชื่อว่า 2-acetyl-1-pyrroline ซึ่งเป็นกลิ่นเดียวกันกับที่ได้ใน ข้าวหอมมะลิ ขนมปังขาว และดอกชมนาด
นอกจากนี้ใบเตยยังประกอบด้วยวิตามินและแร่ธาตุสำคัญอีกหลายชนิด โดยใบเตยหอม 100 กรัมนั้นจะมีเบต้าแคโรทีน 3 ไมโครกรัม, วิตามินซี 8 มิลลิกรัม, วิตามินบี2 0.2 มิลลิกรัม, วิตามินบี3 1.2 มิลลิกรัม, ธาตุแคลเซียม 124 มิลลิกรัม, ธาตุเหล็ก 0.1 มิลลิกรัม, ธาตุฟอสฟอรัส 27 มิลลิกรัม นอกจากนี้ยังมีคาร์โบไฮเดรต 4.6 กรัม, โปรตีน 1.9 กรัม และให้พลังงานถึง 35 กิโลแคลอรี่ !
ใบเตยเป็นพืชที่คนไทยทุกคนต่างก็รู้จักกันดี เนื่องจากมีการนำมาใช้กันอย่างหลากหลายตั้งแต่สมัยโบราณแล้ว โดยเฉพาะอย่างยิ่งการนำมาปรุงแต่งอาหารอย่างขนมไทยให้มีกลิ่นหอม อร่อย และยังให้สีสันน่ารับประทานอีกด้วย

ประโยชน์ของใบเตย

  1. ใบเตยใบเตยหอม สรรพคุณช่วยบำรุงหัวใจให้ชุ่มชื่น และช่วยลดอัตราการเต้นของหัวใจ (น้ำใบเตย)
  2. การดื่มน้ำใบเตยจะช่วยดับกระหายคลายร้อนได้เป็นอย่างดี เพราะใบเตยมีกลิ่นหอมเย็นทานแล้วจึงรู้สึกสดชื่น ผ่อนคลาย
  3. รสหวานเย็นของใบเตย ช่วยชูกำลังได้
  4. การดื่มน้ำใบเตยช่วยแก้อาการอ่อนเพลียของร่างกายได้
  5. ช่วยปรับสมดุลในร่างกาย
  6. ผู้ที่มีธาตุเจ้าเรือนเป็นธาตุไฟนั้นการรับประทานอาหารที่ปรุงจากใบเตยจะช่วยทำให้รู้สึกเย็นสบายสดชื่นได้
  7. ช่วยรักษาโรคเบาหวาน ช่วยควบคุมระดับน้ำตาลในเลือด ซึ่งตามตำรับยาไทยได้มีการนำใบเตยหอม 32 ใบ, ใบของต้นสัก 9 ใบ นำมาหั่นตากแดด แล้วนำมาชงเป็นชาดื่มอย่างน้อย 1 เดือน หรือจะใช้รากประมาณ 1 กำมือนำมาต้มกับน้ำดื่มเช้าเย็นก็ได้เหมือนกัน (ใบ,ราก)
  8. ช่วยลดความดันโลหิต (สารสกัดน้ำจากใบเตย)
  9. ช่วยป้องกันการแข็งตัวของหลอดเลือด
  10. ใบเตย สรรพคุณช่วยบรรเทาอาการอาการและดับพิษไข้ได้
  11. ใบเตยช่วยดับพิษร้อนภายในได้เป็นอย่างดี
  12. ประโยชน์ของใบเตยใช้รักษาโรคหืด (ใบ)
  13. สรรพคุณใบเตยใช้เป็นยาแก้กระษัย (ต้น,ราก)
  14. ใช้เป็นยาขับปัสสาวะ ด้วยการใช้ต้น 1 ต้นหรือจะใช้รากครึ่งกำมือก็ได้ นำมาต้มกับน้ำดื่ม (ราก,ต้น)
  15. สรรพคุณของใบเตยใช้รักษาโรคหัดได้
  16. ใบเตยสดนำมาตำใช้พอกรักษาโรคผิวหนังได้
  17. ประโยชน์ใบเตย มีการนำใบเตยมาใช้แต่งกลิ่นอาหารอย่างหลากหลาย ไม่ว่าจะเป็นของหวานต่าง ๆ อย่าง ขนมลอดช่อง ขนมชั้น รวมไปถึงเค้กและสลัด เป็นต้น
  18. มีการนำใบเตยมาทุบพอแตก นำไปใส่ก้นลังถึงสำหรับนึ่งขนม จะทำให้ขนมที่สุกแล้วมีกลิ่นหอมน่ารับประทานมาก
  19. ใช้ใบเตยลองก้นหวดสำหรับนึ่งข้าวเหนียว เมื่อข้าวสุกแล้วจะทำให้มีกลิ่นหอมมาก
  20. สีเขียวของใบเตยเป็นสีของ คลอโรฟิลล์ สามารถนำมาใช้แต่งสีขนมได้
  21. ใช้ใบเตยสดใส่ลงไปในน้ำมันที่ใช้แล้ว แล้วตั้งไฟให้ร้อนแล้วค่อยตักใบเตยขึ้น จะทำให้น้ำมันไม่มีกลิ่นเหม็นหืน ทำให้น้ำมันที่ใช้ทอดมีกลิ่นเหมือนน้ำมันใหม่ใบสามารถใช้ไล่แมลงสาบได้
  22. ประโยชน์ของใบเตยกับการนำมาใช้ทำเป็นทรีทเม้นท์สูตรบำรุงผิวหน้า ด้วยการใช้ใบเตยล้างสะอาด หั่นเป็นชิ้นเล็ก ๆ นำมาปั่นรวมกับน้ำสะอาดจนละเอียด จะได้ครีมข้นเหนียวแล้วนำมาพอกหน้าทิ้งไว้ประมาณ 20 นาที

วิธีทำน้ำใบเตยหอม

  • น้ำใบเตยการทำน้ำใบเตยอย่างแรกให้เตรียมวัตถุดิบดังนี้ ใบเตยหั่น 2 ถ้วย, น้ำตาลทราย 5 ช้อนโต๊ะ, น้ำ 4 ถ้วย, และน้ำแข็งก้อน
  • นำใบเตยที่หั่นไว้ครึ่งหนึ่ง แล้วใส่ลงในโถปั่นพร้อมกับน้ำเล็กน้อย แล้วปั่นจนละเอียด
  • เมื่อปั่นเสร็จให้กองเอากากออก จะน้ำใบเตยสีเขียว ให้เทใส่ถ้วยแล้วพักไว้
  • ต้มน้ำในหม้อด้วยไฟระดับกลาง ๆ จนเดือด ใส่ใบเตยที่เหลืออยู่อีกครึ่งหนึ่งลงไปต้มประมาณ 5-10 นาที
  • ใส่น้ำตาลลงในหม้อต้นจนน้ำตาลละลาย แล้วให้ปิดไฟแล้วยกลง แล้วกรองเอากากออก
  • หลังจากนั้นให้ยกหม้อขึ้นตั้งไฟระดับกลางอีกครั้ง รอจนเดือดแล้วปิดไฟ ยกหม้อลงปล่อยให้เย็นเป็นอันเสร็จ น้ำใบเตย ใส่น้ำแข็งเสร็จดื่มได้เลย…

ข่า สรรพคุณและประโยชน์ของข่า 53 ข้อ !

icon-calendar เผยแพร่: 3/07/2013 (ปรับปรุง: 29/02/2016)
ข่า

ข่า

ข่า ภาษาอังกฤษ GalangaGreater GalangalFalse Galangal ข่ามีชื่อวิทยาศาสตร์ว่า Alpinia galanga (L.) Willd. จัดอยู่ในวงศ์ ZINGIBERACEAE เช่นเดียวกับกระชาย กระชายดำ กระชายแดง กระวาน กระวานเทศ ขิง ขมิ้น เร่ว เปราะป่า เปราะหอม ว่านนางคำ และว่านรากราคะ
นอกจากนี้ข่ายังชื่อท้องถิ่นอื่น ๆ อีกเช่น สะเอเชย เสะเออเคย (แม่ฮ่องสอน), ข่าหยวก (ภาคเหนือ), ข่าหลวง (ภาคเหนือ-ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ), กฎุกกโรหินี (ภาคกลาง) เป็นต้น
ข่า เป็นพืชที่มีลำต้นอยู่ใต้ดิน (เหง้า) และยังประกอบไปด้วย ใบ ดอก ผล และเมล็ด โดยจัดอยู่ในตระกูล ขิง เป็นพืชสมุนไพรชนิดหนึ่งที่บ้านเรารวมทั้งอินโดนีเซียนิยมนำมาใช้ในการประกอบอาหารต่าง ๆ ใช้เป็นเครื่องเทศเพื่อช่วยแต่งกลิ่นอาหาร ดับกลิ่นคาวของเนื้อสัตว์ต่าง ๆ ใช้เป็นส่วนผสมในเครื่องแกงหรือน้ำพริกต่าง ๆ ใช้ปรุงรสในอาหารต่าง ๆ อย่างต้มข่า ต้มยำ ผัดเผ็ด เป็นต้น นอกจากนี้ดอกและลำต้นอ่อนยังใช้นับประทานเป็นผักสดได้อีกด้วย

ประโยชน์ของข่า

  1. ประโยชน์ของข่าช่วยให้เจริญอาหาร (ข่าหลวง)
  2. ช่วยบำรุงร่างกาย (เหง้า)
  3. ช่วยบำรุงธาตุไฟ (หน่อ)
  4. ข่ามีสาร 1-acetoxychavicol acetate (ACA) ซึ่งมีฤทธิ์ยับยั้งการเกิดโรคมะเร็งจากการเหนียวนำของสารก่อมะเร็ง จึงช่วยป้องกันการเกิดโรคมะเร็งไปด้วยในตัว (เหง้า)
  5. มีฤทธิ์ช่วยยับยั้งการเจริญเติบโตของเซลล์มะเร็ง (สารสกัดจากเหง้า)
  6. สารสกัดจากเหง้ามีฤทธิ์ช่วยช่วยลดระดับน้ำตาลในเลือด (สารสกัดจากเหง้า)
  7. ช่วยรักษาโรคหลอดลมอักเสบ (เหง้าแก่,สารสกัดจากเหง้า)
  8. ช่วยขับเลือดลมให้เดินสะดวก ช่วยเพิ่มการไหลเวียนของเลือดและเพิ่มการเผาผลาญของร่างกายให้ดีขึ้น (ราก)
  9. น้ำมันหอมระเหยจากข่ามีประโยชน์อย่างมากต่อระบบทางเดินหายใจ จึงมีส่วนช่วยแก้อาการหวัด ไอ และเจ็บคอได้เป็นอย่างดี (สารสกัดจากเหง้า)
  10. ช่วยแก้ลมแน่นหน้าอก (หน่อ)
  11. ช่วยแก้ไข้สันนิบาตหน้าเพลิง (เหง้าแก่)
  12. ข่าสรรพคุณทางยาช่วยแก้เสมหะ (เหง้า,ราก)
  13. ช่วยแก้อาการคลื่นไส้อาเจียน เมารถเมาเรือ ด้วยการใช้เหง้าข่าแก่สด ยาวประมาณ 1 นิ้วฟุตนำมาตำจนละเอียดแล้วเติมน้ำปูนใส ใช้น้ำยาดื่มครั้งละครึ่งแก้วหลังอาหารวันละ 3 เวลา (เหง้า)
  14. ผงจากผลแห้งสามารถนำมาใช้รักษาอาการปวดฟันได้ ด้วยการนำผลไปบดแล้วนำมาทาบริเวณที่ปวด (ผลข่า)
  15. ใช้เป็นยาแก้ท้องขึ้น ท้องอืดท้องเฟ้อ จุกเสียดแน่นท้อง ท้องเดิน ด้วยการใช้เหง้าข่าแก่สด ยาวประมาณ 1 นิ้วฟุตนำมาตำจนละเอียดแล้วเติมน้ำปูนใส ใช้น้ำยาดื่มครั้งละครึ่งแก้วหลังอาหารวันละ 3 เวลา (เหง้า)
  16. ดอกข่ารับประทานช่วยแก้อาการท้องเสียได้ (ดอก)
  17. ช่วยขับลมในลำไส้ ด้วยการใช้เหง้าข่าแก่สด ยาวประมาณ 1 นิ้วฟุตนำมาตำจนละเอียดแล้วเติมน้ำปูนใส ใช้น้ำยาดื่มครั้งละครึ่งแก้วหลังอาหารวันละ 3 เวลา (เหง้า)
  18. ข่า สรรพคุณช่วยแก้บิด ปวดมวนท้อง ลมป่วง ด้วยการใช้เหง้าข่าแก่สด ยาวประมาณ 1 นิ้วฟุตนำมาตำจนละเอียดแล้วเติมน้ำปูนใส ใช้น้ำยาดื่มครั้งละครึ่งแก้วหลังอาหารวันละ 3 เวลา (เหง้า)
  19. ช่วยรักษาโรคท้องร่วง (ผลข่า)
  20. ข่าช่วยอาการแก้อาหารเป็นพิษ (เหง้า)
  21. เหง้าข่าแก่ช่วยย่อยอาหาร ช่วยแก้อาการอาหารไม่ย่อย (เหง้าแก่,ผลข่า)
  22. มีฤทธิ์เป็นยาระบายอ่อน ๆ (เหง้า)
  23. ช่วยยับยั้งแผลในกระเพาะอาหาร (เหง้า)
  24. ช่วยทำลายสารพิษที่ตกค้างในลำไส้ (สารสกัดจากเหง้า)
  25. ช่วยลดการบีบตัวของลำไส้ (สารสกัดจากเหง้า)
  26. ช่วยขับน้ำดี (เหง้า)
  27. ช่วยแก้ดีพิการ (ข่าหลวง)
  28. ช่วยขับเลือด ขับน้ำคาวปลา ขับรก ด้วยการใช้เหง้านำมาตำกับมะขามเปียกและเกลือให้หญิงรับประทานหลังคลอด (เหง้า)
  29. ใช้เป็นยารักษาแผลสด (สารสกัดจากเหง้า)
  30. ช่วยลดอาการอักเสบ (เหง้า)
  31. สารสกัดจากเหง้ามีฤทธิ์ช่วยต้านอาการแพ้ต่าง (สารสกัดจากเหง้า)
  32. ช่วยแก้พิษจากแมลงสัตว์กัดต่อย (สารสกัดจากเหง้า)
  33. สรรพคุณ ข่าใช้รักษาโรคผิวหนังต่าง ๆ (เหง้า)
  34. ช่วยฆ่าเชื้อแบคทีเรีย และเชื้อรา (สารสกัดจากเหง้า)
  35. ช่วยฆ่าพยาธิ (น้ำมันหอมระเหย,ใบ)
  36. สรรพคุณของข่า ช่วยรักษากลากเกลื้อน ด้วยการใช้เหง้าแก่เท่าหัวแม่มือ นำมาตำจนละเอียดผสมกับเหล้าโรง ใช้ทาบริเวณที่เป็นกลากเกลื้อนบ่อย ๆ จนกว่าจะหาย (เหง้า,ใบ)
  37. ช่วยแก้ฝีดาษ (ดอกของข่าลิง)
  38. ใช้เป็นยาแก้ลมพิษ ด้วยการใช้เหง้าข่าแก่ ๆ ที่สด 1 แง่ง นำมาตำจนละเอียด แล้วเติมเหล้าโรงพอแฉะ และใช้ทั้งน้ำและเนื้อนำมาทาบริเวณที่เป็นลมพิษบ่อย ๆ จนกว่าอาการจะดีขึ้น (เหง้า)
  39. ช่วยแก้โรคน้ำกัด ด้วยการใช้เหง้าแก่สดขนาดเท่าหัวแม่มือ นำมาตำให้ละเอียดแล้วเติมเหล้าโรงพอท่วมทิ้งไว้ 2 วัน แล้วใช้สำลีชุบแล้วทาบริเวณที่เป็นวันละ 3 รอบ (เหง้า)
  40. ช่วยแก้ฟกช้ำ ข้อเท้าแพลง เคล็ดขัดยอก ด้วยการใช้เหง้าแก่ตำละเอียด นำมาพอกบริเวณที่มีอาการ หรือตำให้ละเอียดแล้วนำไปแช่กับเหล้าขาวหรือน้ำส้มสายชูทิ้งไว้ 1 วันกรองเอาแต่น้ำมาใช้ทาบริเวณที่เป็น (เหง้า)
  41. ช่วยแก้ตะคริว (เหง้า)
  42. ช่วยแก้เหน็บชา (เหง้า)
  43. สรรพคุณของข่าช่วยแก้อาการปวดเมื่อยตามกล้ามเนื้อ อาการปวดบวมตามข้อ ด้วยการใช้ต้นข่าแก่นำมาตำผสมกับน้ำมันมะพร้าวแล้วทาแก้อาการ (ต้นแก่,ใบ,สารสกัดจากเหง้า)
  44. ดอกและลำต้นอ่อนสามารถใช้รับประทานเป็นผักสดได้ (ลำต้น,ดอก)
  45. เหง้าของข่าลิง เอามาต้มน้ำแล้วนำน้ำมาผสมกับสุรา จะช่วยเพิ่มดีกรีของสุรา ทำให้ดีกรีไม่ตก สุรามีกลิ่นฉุนแรงมากขึ้น (เหง้าของข่าลิง)
  46. ช่วยแก้กามโรค (เหง้าของข่าลิง)
  47. ช่วยบำรุงสมรรถภาพทางเพศ
  48. สารสกัดจากเหง้าข่ามีฤทธิ์ช่วยฆ่าแมงลงวันได้ (สารสกัดจากเหง้า)
  49. ประโยชน์ข่าช่วยไล่แมลง ด้วยการใช้เหง้านำมาตำให้ละเอียดเพื่อเอาน้ำมันหอมระเหย แล้วนำไปวางในบริเวณที่มีแมลง (เหง้า)
  50. ข่ามีเหง้าที่มีน้ำมันหอมระเหย มีกลิ่นหอม สามารถใช้ดับกลิ่นคาวของเนื้อสัตว์ กุ้งหอยปูปลาได้เป็นอย่างดี (สารสกัดจากเหง้า)
  51. ในบางประเทศใช้ข่าเพื่อช่วยระงับกลิ่นปากปากและใช้ดับกลิ่นกาย
  52. ข่า ประโยชน์นำมาใช้ประกอบอาหารได้หลายชนิดไม่ว่าจะเป็น ต้มข่าไก่ ต้มยำกุ้ง ต้มยำปลา แกงมัสมั่น แกงเทโพ แกงไตปลา ผัดเผ็ด ลาบ ฯลฯ
  53. ประโยชน์ของข่า มีการนำข่าไปผลิตหรือแปรรูปเป็นเครื่องดื่ม หรือชา ทำลูกประคบ สเปรย์ดับกลิ่น ฯลฯ
แหล่งอ้างอิง : วิกิพีเดีย สารานุกรมเสรี, www.rspg.or.th, www.samunpri.com,