สะพานข้ามลำน้ำงาว เป็นสัญลักษณ์ของอำเภองาวไปแล้ว ตั้งอยู่กลางอำเภองาว คนที่เดินทางมายังอำเภองาว ก็จะเห็นสะพานไม้ขนาดกลาง ๆ ทอดตัวผ่านแม่น้ำซึ่งเรียกว่าแม่น้ำงาว เห็นแล้วสะดุดตากับผู้คนที่ได้พบเห็น สถานที่แห่งนี้เป็นแหล่งพักผ่อนในช่วงยามเย็นมากกว่า เพราะบนสะพานโยงจะไม่ให้นำรถวิ่งผ่านไปมาแล้ว ในปัจจุบัน สังเกตุได้จากมีที่กั้นรถวิ่งบนสะพาน ส่วนทางขึ้นสะพานจะมีร้านค้าตั้งขายของอยู่ คนที่เดินทางมาเที่ยวบนสะพานงาวก็จะได้เห็นวิถีชีวิตคนอำเภองาว อำเภอเล็ก ๆ ที่มีตลาดขนาดน้อย ๆ กับวิถีชีวิตผู้คนที่อาศัยอยู่ริมแม่น้ำงาว ประวัติสะพานโยงสัญลักษณ์อำเภองาว ในปี พ.ศ. 2458 กรมทางหลวงแผ่นดินได้มีการขยายสร้างถนนพหลโยธิน ช่วงจังหวัดลำปางไปยังจังหวัดเชียงราย เมื่อสร้างถนนมาถึงอำเภองาว ซึ่งมีแม่น้ำขวางกั้นอยู่ จึงได้ดำเนินการก่อสร้างสะพานข้ามแม่น้ำงาวขึ้นที่บ้านน้ำล้อม ตำบลหลวงใต้ ข้ามมายังตลาดบ้านหลวงเหนือ ตำบลหลวงเหนือ เป็นสะพานเหล็กแขวน มีเสากระโดงสองฝั่งใช้รอกดึงสายโยงไม่มีเสากลาง พื้นสะพานเป็นหมอนไม้วางบนรางเหล็กเหมือนรางรถไฟ ปูพื้นด้านบนด้วยไม้ ความกว้างของสะพาน 4 เมตร ยาว 80 เมตร เสากระโดงสูง 18 เมตร ผู้ออกแบบก่อสร้างโดย นายช่างเยอรมัน ผู้ควบคุมการก่อสร้างโดย ขุนเจนจบทิศ และหม่อมเจ้าเจริญใจ เริ่มก่อสร้างก่อนสงครามโลกครั้งที่ 2 ในปี พ.ศ. 2469 สร้างแล้วเสร็จในปี พ.ศ. 2471 ใช้เวลาการสร้าง 18 เดือน สะพานไม้นี้ไม่มีชื่อเป็นทางการ แต่กรมทางหลวงแผ่นดินเรียกว่า "สะพานข้ามลำน้ำงาว" มีเพียงแห่งเดียวในประเทศไทย |
การเดินทาง |
วันจันทร์ที่ 29 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2559
|
|
น้ำพริกอ่อง อีกหนึ่งเมนูสำหรับคุณพ่อบ้านคุณแม่บ้านที่กำลังดูแลสุขภาพคงจะหนีไม่พ้นน้ำพริกผักจิ้ม แต่ขึ้นชื่อว่าน้ำพริก หลายคนที่กลัวรสเผ็ดคงเข็ดขยาด ทว่าเมนูที่เราจะนำเสนอวันนี้ รับรองว่าทานได้ตั้งแต่เด็กยันคุณพ่อบ้านคุณแม่บ้านที่รักสุขภาพเลยค่ะ อย่าลังเลและรีรออยู่เลย ความอร่อยของน้ำพริกอ่องกำลังรอคุณอยู่ เตรียมเปิดตู้เย็นหาวัตถุดิบกับเลยค่ะ
เครื่องปรุงน้ำพริกอ่อง
- หมูสับละเอียด 1 ขีด
- พริกแห้งเม็ดใหญ่ตัดท่อนคั่วพอหอม 10 เม็ด (หากกลัวเผ็ดก็ลดลงได้ไม่ว่ากันค่ะ)
- หอมแดงซอย 10 หัว
- กระเทียมสับ 10 กลีบ
- กะปิ 2 ช้อนชา
- เกลือ 1/2 ช้อนชา
- น้ำตาลปี๊บ 1 ช้อนโต๊ะ
- น้ำปลาดี 2 ช้อนโต๊ะ
- มะเขือเทศลูกเล็กซอย 1 ถ้วยตวง
- น้ำมันพืชสำหรับผัด
- น้ำซุป (น้ำต้มกระดูกหมู)
วิธีทำน้ำพริกอ่อง
- เตรียมเครื่องผัดโดยการนำพริกแห้ง หอมแดง กระเทียม เกลือ กะปิ ลงโขลกในครกให้ละเอียด หรือคุณแม่บ้านสมัยใหม่ใช้เครื่องปั่นก็ไม่ว่ากันค่ะ
- ตั้งกระทะไฟกลางใส่น้ำมันลงผัดพอร้อนใส่เครื่องที่เราโขลกเตรียมไว้ลงผัด เติมหมูสับ มะเขือเทศซอย น้ำซุป ผัดให้ง่วนพอเป็นน้ำขลุกขลิก ปรุงรสเพิ่มด้วยน้ำปลา น้ำตาลปี๊บ ชิมรสตามชอบ
จัดเสิร์ฟน้ำพริกอ่องใส่ชามน่ารักพร้อมเครื่องเคียงผักสด แตงกวา มะเขือเปราะ ถั่วฝักยาวรับประทานคู่กัน อย่าลืมเคียงคู่ข้างจานด้วยไข่ต้มยางมะตูม กับข้าวสวยร้อนๆ แค่นี้ก็อิ่มสบายท้องกับเมนูน้ำพริกอ่องของครอบครัวอีกหนึ่งเมนู สาวๆ ที่รักษาสุขภาพดูแลรูปร่างอย่าลืมทำเมนูนี้ไว้ติดบ้านนะคะ
สูตรอาหารไทย : แกงเขียวหวานไก่
[ GREEN CURRY WITH CHICKEN ]
แกงเขียวหวานไก่ เป็นอาหารที่เป็นที่นิยมมาก โดยติดอันดับ 1 ใน 10 อาหารไทยยอดนิยมที่ชาวต่างขาติชอบรับประทาน สีเขียวของแกงเขียวหวานได้มาจากน้ำพริกแกงเขียวหวาน ซึ่งใช้พริกสดสีเขียวเป็นส่วนผสม รสชาติกลมกล่อม ระดับความเผ็ดปรับลดได้ ตามปริมาณเครื่องแกงที่ใส่ลงไป เนื่องจากเป็นแกงกะทิ จึงควรรับประทานแต่พอดี ไม่อย่างนั้นจะมีผลต่อน้ำหนักตัวได้ แกงเขียวหวานนิยมรับประทานคู่กับขนมจีน หรือจะทานกับข้าวสวยเป็นกับข้าวก็ได้
|
|
ใบเตย สรรพคุณและประโยชน์ของใบเตยหอม 22 ข้อ !
สารบัญ [แสดง]
เตย
เตย หรือ เตยหอม ชื่อสามัญ Pandan Leaves, Fragrant Pandan, Pandom wangi
เตย ชื่อวิทยาศาสตร์ Pandanus amaryllifolius Roxb. (ชื่อพ้องวิทยาศาสตร์ Pandanus odorus Ridl.) จัดอยู่ในวงศ์เตยทะเล (PANDANACEAE)
สมุนไพรเตย มีชื่อท้องถิ่นอื่น ๆ ว่า ใบส้มม่า (ระนอง), ส้มตะเลงเครง (ตาก), ส้มปู (แม่ฮ่องสอน), ส้มพอดี ผักเก็งเค็ง (ภาคเหนือ) เป็นต้น
ต้นเตยหอม จัดเป็นไม้ยืนต้นพุ่มเล็ก ขึ้นเป็นกอ มีใบเป็นใบเดี่ยวเรียงสลับเวียนเป็นเกลียวจนถึงยอดใบ ลักษณะของเป็นทางยาว สีเขียวเป็นมัน ใบค่อนข้างแข็งมีขอบใบเรียบ ซึ่งเราสามารถนำใบเตยมาใช้ได้ทั้งใบสดและใบแห้ง ในใบเตยจะมีกลิ่นหอมของน้ำมันหอมระเหย (Fragrant Screw Pine) โดยกลิ่นหอมของใบเตยนั้นมากจากสารเคมีที่ชื่อว่า 2-acetyl-1-pyrroline ซึ่งเป็นกลิ่นเดียวกันกับที่ได้ใน ข้าวหอมมะลิ ขนมปังขาว และดอกชมนาด
นอกจากนี้ใบเตยยังประกอบด้วยวิตามินและแร่ธาตุสำคัญอีกหลายชนิด โดยใบเตยหอม 100 กรัมนั้นจะมีเบต้าแคโรทีน 3 ไมโครกรัม, วิตามินซี 8 มิลลิกรัม, วิตามินบี2 0.2 มิลลิกรัม, วิตามินบี3 1.2 มิลลิกรัม, ธาตุแคลเซียม 124 มิลลิกรัม, ธาตุเหล็ก 0.1 มิลลิกรัม, ธาตุฟอสฟอรัส 27 มิลลิกรัม นอกจากนี้ยังมีคาร์โบไฮเดรต 4.6 กรัม, โปรตีน 1.9 กรัม และให้พลังงานถึง 35 กิโลแคลอรี่ !
ใบเตยเป็นพืชที่คนไทยทุกคนต่างก็รู้จักกันดี เนื่องจากมีการนำมาใช้กันอย่างหลากหลายตั้งแต่สมัยโบราณแล้ว โดยเฉพาะอย่างยิ่งการนำมาปรุงแต่งอาหารอย่างขนมไทยให้มีกลิ่นหอม อร่อย และยังให้สีสันน่ารับประทานอีกด้วย
ประโยชน์ของใบเตย
- ใบเตยหอม สรรพคุณช่วยบำรุงหัวใจให้ชุ่มชื่น และช่วยลดอัตราการเต้นของหัวใจ (น้ำใบเตย)
- การดื่มน้ำใบเตยจะช่วยดับกระหายคลายร้อนได้เป็นอย่างดี เพราะใบเตยมีกลิ่นหอมเย็นทานแล้วจึงรู้สึกสดชื่น ผ่อนคลาย
- รสหวานเย็นของใบเตย ช่วยชูกำลังได้
- การดื่มน้ำใบเตยช่วยแก้อาการอ่อนเพลียของร่างกายได้
- ช่วยปรับสมดุลในร่างกาย
- ผู้ที่มีธาตุเจ้าเรือนเป็นธาตุไฟนั้นการรับประทานอาหารที่ปรุงจากใบเตยจะช่วยทำให้รู้สึกเย็นสบายสดชื่นได้
- ช่วยรักษาโรคเบาหวาน ช่วยควบคุมระดับน้ำตาลในเลือด ซึ่งตามตำรับยาไทยได้มีการนำใบเตยหอม 32 ใบ, ใบของต้นสัก 9 ใบ นำมาหั่นตากแดด แล้วนำมาชงเป็นชาดื่มอย่างน้อย 1 เดือน หรือจะใช้รากประมาณ 1 กำมือนำมาต้มกับน้ำดื่มเช้าเย็นก็ได้เหมือนกัน (ใบ,ราก)
- ช่วยลดความดันโลหิต (สารสกัดน้ำจากใบเตย)
- ช่วยป้องกันการแข็งตัวของหลอดเลือด
- ใบเตย สรรพคุณช่วยบรรเทาอาการอาการและดับพิษไข้ได้
- ใบเตยช่วยดับพิษร้อนภายในได้เป็นอย่างดี
- ใช้รักษาโรคหืด (ใบ)
- สรรพคุณใบเตยใช้เป็นยาแก้กระษัย (ต้น,ราก)
- ใช้เป็นยาขับปัสสาวะ ด้วยการใช้ต้น 1 ต้นหรือจะใช้รากครึ่งกำมือก็ได้ นำมาต้มกับน้ำดื่ม (ราก,ต้น)
- สรรพคุณของใบเตยใช้รักษาโรคหัดได้
- ใบเตยสดนำมาตำใช้พอกรักษาโรคผิวหนังได้
- ประโยชน์ใบเตย มีการนำใบเตยมาใช้แต่งกลิ่นอาหารอย่างหลากหลาย ไม่ว่าจะเป็นของหวานต่าง ๆ อย่าง ขนมลอดช่อง ขนมชั้น รวมไปถึงเค้กและสลัด เป็นต้น
- มีการนำใบเตยมาทุบพอแตก นำไปใส่ก้นลังถึงสำหรับนึ่งขนม จะทำให้ขนมที่สุกแล้วมีกลิ่นหอมน่ารับประทานมาก
- ใช้ใบเตยลองก้นหวดสำหรับนึ่งข้าวเหนียว เมื่อข้าวสุกแล้วจะทำให้มีกลิ่นหอมมาก
- สีเขียวของใบเตยเป็นสีของ คลอโรฟิลล์ สามารถนำมาใช้แต่งสีขนมได้
- ใช้ใบเตยสดใส่ลงไปในน้ำมันที่ใช้แล้ว แล้วตั้งไฟให้ร้อนแล้วค่อยตักใบเตยขึ้น จะทำให้น้ำมันไม่มีกลิ่นเหม็นหืน ทำให้น้ำมันที่ใช้ทอดมีกลิ่นเหมือนน้ำมันใหม่ใบสามารถใช้ไล่แมลงสาบได้
- ประโยชน์ของใบเตยกับการนำมาใช้ทำเป็นทรีทเม้นท์สูตรบำรุงผิวหน้า ด้วยการใช้ใบเตยล้างสะอาด หั่นเป็นชิ้นเล็ก ๆ นำมาปั่นรวมกับน้ำสะอาดจนละเอียด จะได้ครีมข้นเหนียวแล้วนำมาพอกหน้าทิ้งไว้ประมาณ 20 นาที
วิธีทำน้ำใบเตยหอม
- การทำน้ำใบเตยอย่างแรกให้เตรียมวัตถุดิบดังนี้ ใบเตยหั่น 2 ถ้วย, น้ำตาลทราย 5 ช้อนโต๊ะ, น้ำ 4 ถ้วย, และน้ำแข็งก้อน
- นำใบเตยที่หั่นไว้ครึ่งหนึ่ง แล้วใส่ลงในโถปั่นพร้อมกับน้ำเล็กน้อย แล้วปั่นจนละเอียด
- เมื่อปั่นเสร็จให้กองเอากากออก จะน้ำใบเตยสีเขียว ให้เทใส่ถ้วยแล้วพักไว้
- ต้มน้ำในหม้อด้วยไฟระดับกลาง ๆ จนเดือด ใส่ใบเตยที่เหลืออยู่อีกครึ่งหนึ่งลงไปต้มประมาณ 5-10 นาที
- ใส่น้ำตาลลงในหม้อต้นจนน้ำตาลละลาย แล้วให้ปิดไฟแล้วยกลง แล้วกรองเอากากออก
- หลังจากนั้นให้ยกหม้อขึ้นตั้งไฟระดับกลางอีกครั้ง รอจนเดือดแล้วปิดไฟ ยกหม้อลงปล่อยให้เย็นเป็นอันเสร็จ น้ำใบเตย ใส่น้ำแข็งเสร็จดื่มได้เลย…
ข่า สรรพคุณและประโยชน์ของข่า 53 ข้อ !
ข่า
ข่า ภาษาอังกฤษ Galanga, Greater Galangal, False Galangal ข่ามีชื่อวิทยาศาสตร์ว่า Alpinia galanga (L.) Willd. จัดอยู่ในวงศ์ ZINGIBERACEAE เช่นเดียวกับกระชาย กระชายดำ กระชายแดง กระวาน กระวานเทศ ขิง ขมิ้น เร่ว เปราะป่า เปราะหอม ว่านนางคำ และว่านรากราคะ
นอกจากนี้ข่ายังชื่อท้องถิ่นอื่น ๆ อีกเช่น สะเอเชย เสะเออเคย (แม่ฮ่องสอน), ข่าหยวก (ภาคเหนือ), ข่าหลวง (ภาคเหนือ-ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ), กฎุกกโรหินี (ภาคกลาง) เป็นต้น
ข่า เป็นพืชที่มีลำต้นอยู่ใต้ดิน (เหง้า) และยังประกอบไปด้วย ใบ ดอก ผล และเมล็ด โดยจัดอยู่ในตระกูล ขิง เป็นพืชสมุนไพรชนิดหนึ่งที่บ้านเรารวมทั้งอินโดนีเซียนิยมนำมาใช้ในการประกอบอาหารต่าง ๆ ใช้เป็นเครื่องเทศเพื่อช่วยแต่งกลิ่นอาหาร ดับกลิ่นคาวของเนื้อสัตว์ต่าง ๆ ใช้เป็นส่วนผสมในเครื่องแกงหรือน้ำพริกต่าง ๆ ใช้ปรุงรสในอาหารต่าง ๆ อย่างต้มข่า ต้มยำ ผัดเผ็ด เป็นต้น นอกจากนี้ดอกและลำต้นอ่อนยังใช้นับประทานเป็นผักสดได้อีกด้วย
ประโยชน์ของข่า
- ช่วยให้เจริญอาหาร (ข่าหลวง)
- ช่วยบำรุงร่างกาย (เหง้า)
- ช่วยบำรุงธาตุไฟ (หน่อ)
- ข่ามีสาร 1-acetoxychavicol acetate (ACA) ซึ่งมีฤทธิ์ยับยั้งการเกิดโรคมะเร็งจากการเหนียวนำของสารก่อมะเร็ง จึงช่วยป้องกันการเกิดโรคมะเร็งไปด้วยในตัว (เหง้า)
- มีฤทธิ์ช่วยยับยั้งการเจริญเติบโตของเซลล์มะเร็ง (สารสกัดจากเหง้า)
- สารสกัดจากเหง้ามีฤทธิ์ช่วยช่วยลดระดับน้ำตาลในเลือด (สารสกัดจากเหง้า)
- ช่วยรักษาโรคหลอดลมอักเสบ (เหง้าแก่,สารสกัดจากเหง้า)
- ช่วยขับเลือดลมให้เดินสะดวก ช่วยเพิ่มการไหลเวียนของเลือดและเพิ่มการเผาผลาญของร่างกายให้ดีขึ้น (ราก)
- น้ำมันหอมระเหยจากข่ามีประโยชน์อย่างมากต่อระบบทางเดินหายใจ จึงมีส่วนช่วยแก้อาการหวัด ไอ และเจ็บคอได้เป็นอย่างดี (สารสกัดจากเหง้า)
- ช่วยแก้ลมแน่นหน้าอก (หน่อ)
- ช่วยแก้ไข้สันนิบาตหน้าเพลิง (เหง้าแก่)
- ข่าสรรพคุณทางยาช่วยแก้เสมหะ (เหง้า,ราก)
- ช่วยแก้อาการคลื่นไส้อาเจียน เมารถเมาเรือ ด้วยการใช้เหง้าข่าแก่สด ยาวประมาณ 1 นิ้วฟุตนำมาตำจนละเอียดแล้วเติมน้ำปูนใส ใช้น้ำยาดื่มครั้งละครึ่งแก้วหลังอาหารวันละ 3 เวลา (เหง้า)
- ผงจากผลแห้งสามารถนำมาใช้รักษาอาการปวดฟันได้ ด้วยการนำผลไปบดแล้วนำมาทาบริเวณที่ปวด (ผลข่า)
- ใช้เป็นยาแก้ท้องขึ้น ท้องอืดท้องเฟ้อ จุกเสียดแน่นท้อง ท้องเดิน ด้วยการใช้เหง้าข่าแก่สด ยาวประมาณ 1 นิ้วฟุตนำมาตำจนละเอียดแล้วเติมน้ำปูนใส ใช้น้ำยาดื่มครั้งละครึ่งแก้วหลังอาหารวันละ 3 เวลา (เหง้า)
- ดอกข่ารับประทานช่วยแก้อาการท้องเสียได้ (ดอก)
- ช่วยขับลมในลำไส้ ด้วยการใช้เหง้าข่าแก่สด ยาวประมาณ 1 นิ้วฟุตนำมาตำจนละเอียดแล้วเติมน้ำปูนใส ใช้น้ำยาดื่มครั้งละครึ่งแก้วหลังอาหารวันละ 3 เวลา (เหง้า)
- ข่า สรรพคุณช่วยแก้บิด ปวดมวนท้อง ลมป่วง ด้วยการใช้เหง้าข่าแก่สด ยาวประมาณ 1 นิ้วฟุตนำมาตำจนละเอียดแล้วเติมน้ำปูนใส ใช้น้ำยาดื่มครั้งละครึ่งแก้วหลังอาหารวันละ 3 เวลา (เหง้า)
- ช่วยรักษาโรคท้องร่วง (ผลข่า)
- ช่วยอาการแก้อาหารเป็นพิษ (เหง้า)
- เหง้าข่าแก่ช่วยย่อยอาหาร ช่วยแก้อาการอาหารไม่ย่อย (เหง้าแก่,ผลข่า)
- มีฤทธิ์เป็นยาระบายอ่อน ๆ (เหง้า)
- ช่วยยับยั้งแผลในกระเพาะอาหาร (เหง้า)
- ช่วยทำลายสารพิษที่ตกค้างในลำไส้ (สารสกัดจากเหง้า)
- ช่วยลดการบีบตัวของลำไส้ (สารสกัดจากเหง้า)
- ช่วยขับน้ำดี (เหง้า)
- ช่วยแก้ดีพิการ (ข่าหลวง)
- ช่วยขับเลือด ขับน้ำคาวปลา ขับรก ด้วยการใช้เหง้านำมาตำกับมะขามเปียกและเกลือให้หญิงรับประทานหลังคลอด (เหง้า)
- ใช้เป็นยารักษาแผลสด (สารสกัดจากเหง้า)
- ช่วยลดอาการอักเสบ (เหง้า)
- สารสกัดจากเหง้ามีฤทธิ์ช่วยต้านอาการแพ้ต่าง (สารสกัดจากเหง้า)
- ช่วยแก้พิษจากแมลงสัตว์กัดต่อย (สารสกัดจากเหง้า)
- สรรพคุณ ข่าใช้รักษาโรคผิวหนังต่าง ๆ (เหง้า)
- ช่วยฆ่าเชื้อแบคทีเรีย และเชื้อรา (สารสกัดจากเหง้า)
- ช่วยฆ่าพยาธิ (น้ำมันหอมระเหย,ใบ)
- สรรพคุณของข่า ช่วยรักษากลากเกลื้อน ด้วยการใช้เหง้าแก่เท่าหัวแม่มือ นำมาตำจนละเอียดผสมกับเหล้าโรง ใช้ทาบริเวณที่เป็นกลากเกลื้อนบ่อย ๆ จนกว่าจะหาย (เหง้า,ใบ)
- ช่วยแก้ฝีดาษ (ดอกของข่าลิง)
- ใช้เป็นยาแก้ลมพิษ ด้วยการใช้เหง้าข่าแก่ ๆ ที่สด 1 แง่ง นำมาตำจนละเอียด แล้วเติมเหล้าโรงพอแฉะ และใช้ทั้งน้ำและเนื้อนำมาทาบริเวณที่เป็นลมพิษบ่อย ๆ จนกว่าอาการจะดีขึ้น (เหง้า)
- ช่วยแก้โรคน้ำกัด ด้วยการใช้เหง้าแก่สดขนาดเท่าหัวแม่มือ นำมาตำให้ละเอียดแล้วเติมเหล้าโรงพอท่วมทิ้งไว้ 2 วัน แล้วใช้สำลีชุบแล้วทาบริเวณที่เป็นวันละ 3 รอบ (เหง้า)
- ช่วยแก้ฟกช้ำ ข้อเท้าแพลง เคล็ดขัดยอก ด้วยการใช้เหง้าแก่ตำละเอียด นำมาพอกบริเวณที่มีอาการ หรือตำให้ละเอียดแล้วนำไปแช่กับเหล้าขาวหรือน้ำส้มสายชูทิ้งไว้ 1 วันกรองเอาแต่น้ำมาใช้ทาบริเวณที่เป็น (เหง้า)
- ช่วยแก้ตะคริว (เหง้า)
- ช่วยแก้เหน็บชา (เหง้า)
- ช่วยแก้อาการปวดเมื่อยตามกล้ามเนื้อ อาการปวดบวมตามข้อ ด้วยการใช้ต้นข่าแก่นำมาตำผสมกับน้ำมันมะพร้าวแล้วทาแก้อาการ (ต้นแก่,ใบ,สารสกัดจากเหง้า)
- ดอกและลำต้นอ่อนสามารถใช้รับประทานเป็นผักสดได้ (ลำต้น,ดอก)
- เหง้าของข่าลิง เอามาต้มน้ำแล้วนำน้ำมาผสมกับสุรา จะช่วยเพิ่มดีกรีของสุรา ทำให้ดีกรีไม่ตก สุรามีกลิ่นฉุนแรงมากขึ้น (เหง้าของข่าลิง)
- ช่วยแก้กามโรค (เหง้าของข่าลิง)
- ช่วยบำรุงสมรรถภาพทางเพศ
- สารสกัดจากเหง้าข่ามีฤทธิ์ช่วยฆ่าแมงลงวันได้ (สารสกัดจากเหง้า)
- ประโยชน์ข่าช่วยไล่แมลง ด้วยการใช้เหง้านำมาตำให้ละเอียดเพื่อเอาน้ำมันหอมระเหย แล้วนำไปวางในบริเวณที่มีแมลง (เหง้า)
- ข่ามีเหง้าที่มีน้ำมันหอมระเหย มีกลิ่นหอม สามารถใช้ดับกลิ่นคาวของเนื้อสัตว์ กุ้งหอยปูปลาได้เป็นอย่างดี (สารสกัดจากเหง้า)
- ในบางประเทศใช้ข่าเพื่อช่วยระงับกลิ่นปากปากและใช้ดับกลิ่นกาย
- ข่า ประโยชน์นำมาใช้ประกอบอาหารได้หลายชนิดไม่ว่าจะเป็น ต้มข่าไก่ ต้มยำกุ้ง ต้มยำปลา แกงมัสมั่น แกงเทโพ แกงไตปลา ผัดเผ็ด ลาบ ฯลฯ
- ประโยชน์ของข่า มีการนำข่าไปผลิตหรือแปรรูปเป็นเครื่องดื่ม หรือชา ทำลูกประคบ สเปรย์ดับกลิ่น ฯลฯ
แหล่งอ้างอิง : วิกิพีเดีย สารานุกรมเสรี, www.rspg.or.th, www.samunpri.com,
ตะไคร้ (อังกฤษ: Lemon grass, Oil grass; ชื่อวิทยาศาสตร์: Cymbopogon citratus); ชื่อท้องถิ่น: จะไคร (ภาคเหนือ), ไคร (ภาคใต้), คาหอม (แม่ฮ่องสอน), เชิดเกรย, เหลอะเกรย (เขมร-สุรินทร์), ห่อวอตะโป่ (กะเหรี่ยง-แม่ฮ่องสอน) ) เป็นพืชล้มลุก ความสูงประมาณ 4-6 ฟุต ใบยาวเรียว ปลายใบมีขนหนาม ลำต้นรวมกันเป็นกอ มีกลิ่นหอม ดอกออกเป็นช่อยาวมีดอกเล็กฝอยเป็นจำนวนมาก ตะไคร้เป็นพืชที่สามารถนำส่วนต้นหัวไปประกอบอาหาร และจัดเป็นพืชสมุนไพรด้วย
ถิ่นกำเนิด[แก้]
ตะไคร้มีถิ่นกำเนิด ในประเทศอินโดนีเซีย ศรีลังกา พม่า อินเดีย ไทย ในทวีปอเมริกาใต้ และคองโก
ลักษณะโดยทั่วไป[แก้]
โดยทั่วไปแบ่งตะไคร้ออกเป็น 6 ชนิด ได้แก่
- ตะไคร้กอ
- ตะไคร้ต้น
- ตะไคร้หางนาค
- ตะไคร้น้ำ
- ตะไคร้หางสิงห์
- ตะไคร้หอม
เป็นพืชตระกูลหญ้า ตะไคร้เป็นพืชที่เจริญเติบโตง่าย อาจมีทรงพุ่มสูงถึง 1 เมตร มีลำต้นที่แท้จริงประมาณ 4-7 เซนติเมตร ลำของต้นจะถูกห่อหุ้มไปด้วยกาบใบโดยรอบ ใบยาวแคบเส้นใบขนานกับก้านใบ ใบของตะไคร้อุดมไปด้วยน้ำมันหอมระเหย ที่นิยมนำมาปลูกเป็นพันธุ์พื้นเมืองที่ปลูกกันโดยทั่วไป
วิธีการปั่นจักรยานเพื่อการลดน้ำหนัก
หลายๆคนอาจคิดว่าเป็นการปั่นจักรยานเป็นการออกกำลังเฉพาะจุด คิดว่าไว้สำหรับลดส่วนขา ลดส่วนอื่นก็ไม่ได้ ซึ่งขอบอกเลยว่าความคิดเหล่านี้ไม่จริง เพราะ วิธีการปั่นจักรยานเพื่อการลดน้ำหนัก เป็นการลดไขมันในทุกส่วนของร่างกาย ทำไมถึงเป็นแบบนั้นและทำไมถึงบอกว่าการลดไขมันเฉพาะจุดไม่มี การลดไขมันหรือลดน้ำหนักเฉพาะเจาะจงเป็นจุดๆนั้นไม่มี เนื่องจาก ไขมันคือพลังงานที่เหลือจากการใช้งานจะถูกเปลี่ยนเป็นไขมันสะสมเอาไว้ ถ้าปริมาณอาหารที่เรารับประทานเข้าไปสมดุลกับพลังงานที่เราใช้ ก็จะไม่มีการสะสมพลังงานในรูปไขมัน
ปอมีข่าวกิจกรรมดีๆ สำหรับคนชอบปั่นจักรยานมาบอก นั้นคืองาน บางกอก ไครทีเรี่ยม (BANGKOK CRITERIUM) 2015 ที่จะจัดในวันที่ 7 พฤศจิกายน 2558 ที่ถนนราชดำเนิน งานนี้คนชอบจักรยานไม่ควรพลาด
วิธีการปั่นจักรยานลดความอ้วนที่เราจะพูดกันวันนี้มี 2 อย่าง คือ1. คาร์ดิโอ คือ การออกกำลังกายแบบต่อเนื่อง เช่น เดิน ปั่นจักรยาน เต้นโดย การออกกำลังกายรูปแบบนี้ จะเป็นการออกกำลังกายที่ไม่เน้นการใช้พลังจากมัดกล้ามเนื้อไม่เน้นหนัก แต่มุ่งเน้นไปที่การขยับเขยื้อนร่างกายและระยะเวลาซึ่งมีผลต่ออัตราการเต้นของหัวใจ ทำให้ออกกำลังกายได้45-60 นาที
2. อินเทอร์วอล คือการออกกำลังที่มีความแปรปรวน ของ ความเร็วและความหนักหน่วงตลอดเวลา เช่น การปั่นเร็ว 30 วินาที และปั่นช้า 90 วินาที แล้วทำซ้ำ แบบนี้ 10-15 นาที
2. อินเทอร์วอล คือการออกกำลังที่มีความแปรปรวน ของ ความเร็วและความหนักหน่วงตลอดเวลา เช่น การปั่นเร็ว 30 วินาที และปั่นช้า 90 วินาที แล้วทำซ้ำ แบบนี้ 10-15 นาที
ขั้นตอนก็ง่ายๆดังนี้
1. ยืดกล้ามเนื้อ (stretching) ตามปกติ
2.วอร์มอัพด้วยการเริ่มปั่นเบาๆ 5 นาที เร่งความเร็วขึ้นเรื่อยๆ จนเมื่อถึงนาทีที่ 5 ให้ Heart Rate (HR) อยู่ที่ 60% – 70% ของ MHR
3. เมื่อเข้านาทีที่ 6 ให้คุณปั่นสุดแรงเกิด (sprint) ในทางปฏิบัติอาจจะไม่ต้องกับให้ถึงสุดแรงเกิดจริงๆ แต่ดูที่ HR ให้อยู่ที่ 80% – 90% ของ MHR ปั่นให้เร็วสุดๆแบบนี้ 20 วินาที
4. เมื่อครบ 20 วินาที ให้ผ่อนลงมา แล้วปั่นตามอัตราปกติ 1 นาที
5. เมื่อปั่นตามอัตราปกติครบ 1 นาที ให้ทำตามวงจรในข้อ 3 และ 4 ใหม่
6. ทำเป็นวงจรแบบนี้ไปเรื่อยๆ แต่อย่าให้เกิน 10 – 15 นาที (ย้ำว่าไม่ควรเกิน 15 นาที)
7.คูลดาวน์ โดยผ่อนลงมา ค่อยๆ ปั่นให้ช้าลงๆ ประมาณ 5 นาที สำหรับมือใหม่ ในครั้งแรกให้ลองทำแค่ 4 – 5 วงจรก็ แล้วสักระยะแล้วค่อยๆเพิ่มขึ้นทีละรอบ แต่อย่าให้เกิน 15 นาที และสิ่งสำคัญอีกอย่างคือ ต้องใช้เวลาพักฟื้นร่างกายนาน ดังนั้นในหนึ่งสัปดาห์ทำสัก 3 ครั้งก็พอ
มือใหม่เริ่มปั่นจักรยานแบบไหนอย่างไรดีเลือก คาร์ดิโอ – มีเวลาว่างเหลือ – เพิ่งเริ่มออกกำลัง
เลือก อินเทอร์วอล – อยากเผาผลาญแคลอรี่อย่างรวดเร็ว – เวลามีจำกัด
วิธีการปั่นจักรยานเพื่อการลดน้ำหนัก สำหรับมือใหม่ มีหลักการที่สำคัญและไม่ควรลืมเลยคือ วอร์มอัพ และคูลดาวน์ เพื่อไม่ให้ร่างกายบาดเจ็บและควรค่อยๆเพิ่งระยะเวลาและความแรงในการปั่น ต้องมีการปั่นที่สม่ำเสมออย่าพยายามมุ่งเน้นไปที่การลดน้ำหนักอย่างเดียวจนลืมนึกถึงสุขภาพ และควรทานอาหารและพักผ่อนให้เพียงพอ ทำแบบนี้สักเดือน รับรองมีคนทักคุณแน่ไปทำไรมาถึงดูดีขึ้นครับ
1. ยืดกล้ามเนื้อ (stretching) ตามปกติ
2.วอร์มอัพด้วยการเริ่มปั่นเบาๆ 5 นาที เร่งความเร็วขึ้นเรื่อยๆ จนเมื่อถึงนาทีที่ 5 ให้ Heart Rate (HR) อยู่ที่ 60% – 70% ของ MHR
3. เมื่อเข้านาทีที่ 6 ให้คุณปั่นสุดแรงเกิด (sprint) ในทางปฏิบัติอาจจะไม่ต้องกับให้ถึงสุดแรงเกิดจริงๆ แต่ดูที่ HR ให้อยู่ที่ 80% – 90% ของ MHR ปั่นให้เร็วสุดๆแบบนี้ 20 วินาที
4. เมื่อครบ 20 วินาที ให้ผ่อนลงมา แล้วปั่นตามอัตราปกติ 1 นาที
5. เมื่อปั่นตามอัตราปกติครบ 1 นาที ให้ทำตามวงจรในข้อ 3 และ 4 ใหม่
6. ทำเป็นวงจรแบบนี้ไปเรื่อยๆ แต่อย่าให้เกิน 10 – 15 นาที (ย้ำว่าไม่ควรเกิน 15 นาที)
7.คูลดาวน์ โดยผ่อนลงมา ค่อยๆ ปั่นให้ช้าลงๆ ประมาณ 5 นาที สำหรับมือใหม่ ในครั้งแรกให้ลองทำแค่ 4 – 5 วงจรก็ แล้วสักระยะแล้วค่อยๆเพิ่มขึ้นทีละรอบ แต่อย่าให้เกิน 15 นาที และสิ่งสำคัญอีกอย่างคือ ต้องใช้เวลาพักฟื้นร่างกายนาน ดังนั้นในหนึ่งสัปดาห์ทำสัก 3 ครั้งก็พอ
มือใหม่เริ่มปั่นจักรยานแบบไหนอย่างไรดีเลือก คาร์ดิโอ – มีเวลาว่างเหลือ – เพิ่งเริ่มออกกำลัง
เลือก อินเทอร์วอล – อยากเผาผลาญแคลอรี่อย่างรวดเร็ว – เวลามีจำกัด
วิธีการปั่นจักรยานเพื่อการลดน้ำหนัก สำหรับมือใหม่ มีหลักการที่สำคัญและไม่ควรลืมเลยคือ วอร์มอัพ และคูลดาวน์ เพื่อไม่ให้ร่างกายบาดเจ็บและควรค่อยๆเพิ่งระยะเวลาและความแรงในการปั่น ต้องมีการปั่นที่สม่ำเสมออย่าพยายามมุ่งเน้นไปที่การลดน้ำหนักอย่างเดียวจนลืมนึกถึงสุขภาพ และควรทานอาหารและพักผ่อนให้เพียงพอ ทำแบบนี้สักเดือน รับรองมีคนทักคุณแน่ไปทำไรมาถึงดูดีขึ้นครับ
โยคะ
ในช่วงไม่กี่ปีมานี้มีการนำโยคะมาใช้รักษาอาการเจ็บป่วยบางอย่างเพิ่มขึ้นโดยเฉพาะโรคเครียดและโรคอื่นๆที่มีสาเหตุมาจากความเครียด เนื่องจากวิธีของโยคะจะเน้นการฝึกทั้งร่างกายและจิตใจไปด้วยกัน จึงช่วยบรรเทาอาการเครียดได้ โยคะเป็นศาสตร์ที่สืบทอดมาอย่างยาวนาน ในยุคเริ่มแรกศาสตร์ดังกล่าวเป็นเรื่องของจิตล้วนๆ ว่าด้วยการฝึกจิตเพื่อนำไปสุ่การหลุดพ้น เมื่อเวลาผ่านไป เทคนิคต่างๆ รวมทั้งการฝึกฝนร่างกาย ได้รับการคิดค้นรวมเข้าเป็นส่วนหนึ่งของศาสตร์นี้ อย่างไรก็ตามเทคนิคหลายอย่างโดยเฉพาะทางด้านกาย ซึ่งมีรูปธรรมชัดเจนนั้น ได้เข้าสู่ประเทศทางตะวันตก มีผู้สนใจเป็นจำนวนมากที่จะทำการศึกษาเกี่ยวกับโยคะ ยิ่งศึกษายิ่งรับรู้ถึงประโยชน์ของโยคะ รวมทั้งได้ค้นพบประโยชน์การของโยคะในแง่การบำบัดโรค จึงส่งผลให้โยคะได้รับความนิยมอย่างกว้างขวาง
โยคะ คืออะไร ?
โยคะ คือ การบริหารกาย ลมหายใจ และ การผ่อนคลาย (อาสนะ และ ปรารณายาม) โดยเว้นหรือข้ามส่วนที่เป็นการฝึกจิตโดยตรง ขณะเดียวกันยังคงแฝงนัยแห่ง การฝึกจิดโดยอ้อมอยู่อย่างครบถ้วน คำว่า อาสนะ มาจากรากศัพท์ภาษาสันสกฤตว่า อาส ซึ่งหมายถึง มีอยู่ อาศัยอยู่ใน นั่งเงียบๆ อยู่อาศัย พำนัก ตามศัพท์ อาสนะ หมายถึง การนั่งหรือนั่งในท่าใดท่า หนึ่ง ในเรื่องโยคะอาสนะ หมายถึง ท่าและตำแหน่งตางๆ ในการฝึกโยคะ เช่น การยืนด้วยศีรษะ (ศีรษะอาสนะ) ท่าดอกบัว (ปัทมอาสนะ) ฯลฯ อาสนะนับเป็นหนึ่งในแปดแขนงของโยคะแบบดั้งเดิม ในตำราโยคะสูตร มีส่วนที่ ว่าด้วยปรัชญาของโยคะ คือ "ปธังชลี" ซึ่งให้คำจำกัดความอาสนะด้วยคำ 2 คำ คือ เสถียร และสุขุม เสถียรหมายถึง ความมั่นคง ความคงที่ ความแน่วแน่ โดยมากจากราศัพท์ว่า สถ ซึ่งหมายถึงการยืน สุขุมหมายถึงการผ่อนคลาย สบาย ความสุขเมื่อจิตของกายอยู่ในสภาวะที่ตรงข้ามกับเสถียรและสุขุม กล่าวคือ อยู่ในสภาวะไม่คงที่จำกัด ร้อนรนและไม่มีสมาธิจะทำให้เรามีแนวโน้มที่จะใช้ชีวิตอย่างยาก ลำบาก ขัดแย้ง เครียด และขาดความสุข การฝึกโยคะช่วยสร้างความคงที่และผ่อนคลายที่สัมผัสได้ ผ่านจิตของกาย อันจะก่อประโยชน์ทั้งด้านสมาธิและชีวิตประจำวันโดยทั่วไป
การฝึกโยคะนั้นต่างจากการออกกำลังกายแบบอื่นๆ ที่เป็นที่นิยมกัน เช่น แอโรบิค ยกน้ำหนัก หรือวิ่งอย่างสิ้นเชิง จุดประสงค์ของการฝึกอาสนะไม่ใช่การพัฒนาความแข็งแรงของกล้าม เนื้อ หรือความแข็งแรงของกล้ามเนื้อหัวใจ (แม้โยคะจะมีประโยชน์เช่นนั้นด้วยก็ตาม) แต่โยคะมีจุด ประสงค์เพื่อฟื้นฟูจิตของกายให้กลับมาสู่สภาวะความเป็นอยู่ที่ดี ผ่อนคลาย และตื่นตัวอยู่เสมอ การฝึกโยคะมีผลต่อจิตของกายในทุกๆ ด้าน เช่น ด้านร่างกายโดยผ่อนคลาย รักษา และสร้างความแข็งแรง ยืดเส้นยืดสายระบบกระดูก กล้ามเนื้อ กล้ามเนื้อหัวใจ ระบบการย่อยอา หาร ต่อมต่างๆ ในร่างกาย และระบบประสาท ผลทางด้านจิตใจ จะเกิดผ่านการสร้างจิตใจที่สงบ ความตื่นตัวและสมาธิ ผลทางด้านจิตวิญญาณ คือ การเตรียมพร้อม สำหรับการทำสมาธิ และสร้างความแข็งแกร่งจาก "ภายใน"
การออกกำลังกายรักษาโรค
การบำบัดโรคด้วยการออกกำลังกาย เป็นการใช้การออกกำลังกายเพื่อปรับปรุง แก้ไขหรือบรรเทาอาการป่วยทางสรีระต่างๆ ประโยชน์ของการออกกำลังกายในแง่ของการบำบัดรักษาโรคนี้มีอย่างมากมาย ในปัจจุบันนี้ แพทย์มากมายต่างใช้วิธีการออกกำลังกายในฐานะที่เป็นทางเลือกนอกเหนือจากวิธีการบำบัดรักษาโรคต่างๆ การออกกำลังกายที่ดีสามารถลดปัญหาและปรับปรุงสภาพร่างกายได้หลายประการ อาทิเช่น การออกกำลังกายที่ใช้แทนการรักาาด้วยยาหรือเคมีบำบัดก็สามารถลดควมดันโลหิตได้ สำหรับคนที่อ้วนจัด การออกกำลังกายจะช่วยเผาผลาญอาหารของร่างกาย ช่วยเผาไขมันส่วนเกิน ทำให้ควบคุมน้ำหนักอย่างมีประสิทธิภาพ นักวิจัยกล่าวว่าแม้การออกกำลังกายเพียงเล็กน้อยก็ช่วยต่อชีวิตคนให้ยืนยาวอย่างมีคุณภาพ ทรัพย์สินเงินทอง ยิ่งใช้ยิ่งหมดไป แต่การออกกำลังกายเป็นประจำสามารถเพิ่มความแข็งแรงให้แก่ร่างกายได้ ในทางตรงข้าม ถ้ากล้ามเนื้อไม่มีการออกกำลังกายจะยิ่งอ่อนแอปวกเปียก ในขณะที่มีการออกกำลังกายอย่างเหมาะสม ร่างกายก็จะยิ่งมีความสามารถและมีสมรรถภาพมากยิ่งขึ้น
การออกกำลังกายอย่างง่ายๆ
การออกกำลังกายอย่างง่ายๆ
การออกกำลังกายอย่างง่ายๆ ที่สามารถทำได้ไปพร้อมๆ กับการดำเนินชีวิตประจำวันของเรา เช่น
· การไปซื้อของตามร้านหรือไปทำงาน ถ้าไม่ไกลเกินไปควรเดินแทนการนั่งรถ
· ค่อยๆเพิ่มอัตราความเร็วของการเดิน หรือเพิ่มระยะทางเดิน หรือเพิ่มความชันของทางเดิน
· ถ้าท่านต้องขึ้นบันไดไปชั้น 2หรือ3 ของอาคารต่างๆ พยายามใช้บันไดแทนการขึ้นลิฟท์ วิธีนี้เป็นผลดีต่อหัวใจ ปอด และกล้ามเนื้อขา แต่ต้องระวัง ถ้าท่านมีปัญหาเกี่ยวกับข้อ เข่า และการทรงตัว
· การทำงานบ้านและการทำสวน เป็นประโยชน์ในแง่ของการออกกำลังกาย แต่ให้ระวังท่าทางของร่างกายที่ผิดปกติมากๆ เช่น งอหลังนานเกินไป ยกของ หรือขุดงัดของหนักเกินไป
· ถ้าจะออกกำลังกายให้เหนื่อยยิ่งขึ้น การเดินอย่างเร่งรีบ การวิ่งเหยาะๆ การว่ายน้ำ การถีบจักรยาน ฯลฯ ต่างเป็นสิ่งที่ดีทั้งสิ้น
· โยคะ รำมวยจีน อาจฝึกได้ทุกช่วงอายุ และฝึกติดต่อกันได้จนถึงวัยสูงอายุ
· กีฬาต่างๆ คงเล่นต่อไปได้ แต่พยายามละเว้นการแข่งขันและพยายามเล่นกีฬาทุกชนิดกับบุคคลที่อยู่ในรุ่นราวคราวเดียวกัน
· การออกกำลังกายควรเป็นสิ่งที่ให้ความสนุกสนาน การเคลื่อนไหวแต่ละก้าว ต้องมีความรู้สึกที่สง่างาม สะดวกสบาย การออกกำลังกายควรเหมือนกับการเต้นรำ เป็นการแสดงออกถึงความรู้สึกถึงภายในจิตใจ
สมัครสมาชิก:
บทความ (Atom)